ศุภฤกษ์เบิกชัย สวัสดีปีใหม่
ความเป็นมาของวันขึ้นปีใหม่ไทย
ในสมัยโบราณคนทั่วโลกมีหลักเกณฑ์ในการกำหนดวันขึ้นปีใหม่ที่คล้ายคลึงกันโดยคำนึงถึงเหตุและผลที่เกี่ยวข้องกับสภาพชีวิต ความเป็นอยู่ ดินฟ้าอากาศ และจารีตประเพณี เพราะวันขึ้นปีใหม่ย่อมหมายถึงวาระแห่งความรื่นเริงและสิริมงคลในชีวิต เป็นนิมิตหมายที่ดีในการเริ่มต้นสิ่งใหม่และมอบความปรารถนาดีให้แก่กันหลังจากตรากตรำกับภารกิจการงานมาตลอดทั้งปี คนไทยในสมัยโบราณก็เช่นเดียวกันวันขึ้นปีใหม่ครั้งแรกจึงได้ถูกกำหนดขึ้นอย่างสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ข้างต้น ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงวันขึ้นปีใหม่นับได้ ๔ ครั้งซึ่งมีเหตุผลและความเหมาะสมที่แตกต่างกัน ดังนี้
ครั้งแรก วันขึ้นปีใหม่ของไทยตรงกับ วันแรม ๑ ค่ำ เดือนอ้าย บรรพบุรุษไทยเริ่มมีการเฉลิมฉลองวันขึ้นปีใหม่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ยังมีถิ่นฐานอยู่บริเวณประเทศจีนทางตอนใต้ ตามทางสอบสวนปรากฏว่าเป็นของไทยแท้ และไม่ได้เลียนแบบมาจากที่ใด มูลเหตุมาจากดินฟ้าอากาศในประเทศของเราดังพระบรมราชาธิบายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงกล่าวถึงฤดูทั้ง ๓ ไว้ว่า วิธีนับวันขึ้นปีใหม่ของคนไทยโบราณถือว่าเดือนอ้าย แรม ๑ ค่ำ เป็นวันขึ้นต้นปีเพราะฤดูหนาวที่เรียกว่าเหมันตะเป็นเวลาที่พ้นจากความมืดครึ้มของฟ้าฝนและสว่างไสวขึ้นเปรียบเสมือนเวลาเช้าถือเป็นต้นปี ฤดูร้อนที่เรียกว่าคิมหฤดูเป็นเวลาสว่างร้อนเหมือนเวลากลางวันถือว่าเป็นกลางปี ส่วนฤดูฝนที่เรียกว่าวัสสานะเป็นเวลาที่มืดมัวและมีฝนพรำเปรียบเสมือนเวลากลางคืนถือว่าเป็นปลายปี เพราะฉะนั้นจึงได้นับชื่อเดือนเป็นหนึ่งมาแต่เดือนอ้าย
ครั้งที่ ๒ วันขึ้นปีใหม่ของไทยตรงกับ วันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ เมื่อชาวไทยย้ายถิ่นฐานลงมาสู่ดินแดนแหลมทอง จึงได้มีการเปลี่ยนแปลงวันขึ้นปีใหม่ครั้งแรกสาเหตุน่าจะมาจากอิทธิพลของพราหมณ์ที่มีถิ่นฐานเดิมอยู่ทางตอนเหนือของประเทศอินเดียเมื่อพราหมณ์เหล่านี้เดินทางเข้ามาสู่แผ่นดินไทยจึงนำลัทธิธรรมเนียมและจารีตประเพณีต่าง ๆ ตลอดจนแนวคิดในการเปลี่ยนศกใหม่ในวันสงกรานต์ตามแบบสุริยคติของอินเดียเหนือเข้ามาเผยแพร่ด้วย จึงส่งผลให้ไทยกำหนดวันขึ้นปีใหม่เป็น วันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ (เดือนเมษายน) และถือเป็นวันสงกรานต์ด้วย และได้ใช้ติดต่อกันเรื่อยมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ครั้งที่ ๓ วันขึ้นปีใหม่ของไทยตรงกับ วันที่ ๑ เมษายน การกำหนดวันขึ้นปีใหม่สองครั้งที่ผ่านมาได้ถือเอาทางจันทรคติเป็นหลัก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นความลำบากในการกำหนดวันขึ้นปีใหม่ มีพระราชปรารถว่าวันขึ้นปีใหม่ของไทยซึ่งนับตามจันทรคตินั้นมักจะเลื่อนไปเลื่อนมาไม่แน่นอนเป็นการยุ่งยากแก่การจดจำ และเมื่อต้องมีการติดต่อกับต่างประเทศก็ยิ่งรู้สึกลำบากมากขึ้นจวบจนถึงรัตนโกสินทรศก ๑๐๘ (พุทธศักราช ๒๔๓๒) วันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ ตรงกับวันที่ ๑ เมษายนพอดี จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ประกาศให้ถือวันที่ ๑ เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ตั้งแต่พุทธศักราช ๒๔๓๒ เป็นต้นมานับเป็นวันขึ้นปีใหม่ทางสุริยคติครั้งแรกของไทย
ครั้งที่ ๔ วันขึ้นปีใหม่ของไทยตรงกับ วันที่ ๑ มกราคม ตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม เห็นว่าเมื่อไทยยอมรับปฏิทินสุริยคติตามแบบสากลแล้ว ก็ควรเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่ให้เป็นแบบสากลเพื่อความสะดวกในการติดต่อกับต่างประเทศ จึงกำหนดให้ถือวันที่ ๑ มกราคมของทุกปีเป็นวันขึ้นปีใหม่เริ่มตั้งแต่พุทธศักราช ๒๔๘๔ เป็นต้นมา ส่งผลให้พุทธศักราช ๒๔๘๓ มีจำนวนเดือนเพียง ๙ เดือนขาดไป ๓ เดือน
วันขึ้นปีใหม่ไม่ว่าชาติใดภาษาใด ต่างถือว่าเป็นวันสำคัญวันหนึ่งเพราะเป็นวาระเริ่มต้นชีวิตใหม่ในอีกรอบขวบปีหนึ่ง และต่างถือว่า เป็นวันที่อุดมด้วยมงคลฤกษ์ และศุภนิมิตอันดีงาม ฉะนั้น ในวันนี้จึงมีการจัดพระราชพิธี พิธี งานรื่นเริง กิจกรรม และประเพณีบำเพ็ญกุศลทางศาสนา ตลอดจนการอวยพรและขอรับพรจากกันและกัน เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองมิ่งขวัญอันจะนำมาซึ่งศิริสวัสดิ์พิพัฒนมงคลแก่ตนและครอบครัว ตลอดจนมิตรสหายวงศ์ญาติที่เคารพนับถือ
พระราชพิธีขึ้นปีใหม่อันเกี่ยวเนื่องกับพระมหากษัตริย์
พระราชพิธีขึ้นปีใหม่ในพระราชสำนักมีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ครั้นสมัยรัตนโกสินทร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงกำหนดพระราชพิธีที่คล้ายคลึงกัน มีการเปลี่ยนแปลงพระราชกรณียกิจบางอย่างให้เหมาะสมกับกาลเวลา โดยเฉพาะในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นต้นมา พระราชพิธีขึ้นปีใหม่แบ่งเป็น ๒ พิธี คือ การบำเพ็ญพระราชกุศล และการรื่นเริงปีใหม่
การบำเพ็ญพระราชกุศล ได้แก่ พระราชกุศลสดับปกรณ์พระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ผ่านมา พระอัฐิพระบรมวงศ์ พิธีบวงสรวงเทวดา คือ พระสยามเทวาธิราช พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์เลี้ยงพระถวายอาหารบิณฑบาต สดับปกรณ์ในพระราชวังบวร และที่หอพระนาก
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร |
พระโกศ พระบรมอัฐิ และพระอัฐิ |
พระโกศ พระบรมอัฐิ สมเด็จพระบวรราชเจ้า |
การรื่นเริง ในทุกปีโปรดเกล้า ฯ ให้จัดการเลี้ยงพระกระยาหารที่เรียกกันว่า เลี้ยงโต๊ะปีใหม่ (ดินเนอ) พระราชดำรัสพระราชทานพร พระราชทานของฉลากเลี้ยงโต๊ะปีใหม่ ปฏิทิน บางปีจัดงานแฟนซีเดรสส์ ออกร้านขายของในพระบรมมหาราชวัง จัดการแสดงละครหลวง การแสดงเล่นกลของรอยัลแมจิกโซไซเอตี
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้านาย |
เจ้านายและข้าราชการฝ่ายในแต่งแฟนซีเป็นแขกและพม่า |
เจ้าจอมเอื้อน ในรัชกาลที่ ๕ |
เจ้าจอมมารดาห่วง ในรัชกาลที่ ๔ |
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ฉลองพระองค์แฟนซีในงานขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช ๒๔๑๙ |
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว |
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ |
สมเด็จพระราชปิตุลา บรมพงศาภิมุข |
เจ้านายซึ่งทรงแสดงละครเรื่องนิทราชาคริช |
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระราชพิธีขึ้นปีใหม่ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลยังคงปฏิบัติเช่นเดิม แต่มีพระราชพิธีที่เพิ่มเติมและเปลี่ยนแปลง คือ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้รวมพระราชพิธีสัมพัจฉรฉินท์ เถลิงศกสงกรานต์ และพระราชพิธีศรีสัจจปานกาลถือนํ้าพระพิพัฒน์สัตยาเข้าด้วยกันเรียกว่าพระราชพิธีตรุษะสงกรานต์ เริ่มการพระราชพิธีตั้งแต่วันที่ ๒๘ มีนาคม ถึงวันที่ ๓ เมษายน
ส่วนการรื่นเริง มีงานอุทยานสโมสร กระทรวงวังจัดที่ลงพระนามและนามถวายพระพร และพระราชทานปฏิทินหลวง
ข้าราชการกำลังขึ้นไปดื่มน้ำพระพิพัฒน์สัตยาที่บริเวณหน้าพระอุโบสถ |
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ในรัชกาลนี้ บางปียังคงมีการรื่นเริงต่าง ๆ พระราชทานเลี้ยงพระบรมวงศานุวงศ์ มีการแสดง พระราชทานฉลากของขวัญ พระราชทานปฏิทินแก่ข้าราชการ และปวงชนชาวไทย
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร
ครั้นถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร มีประกาศใช้วันที่ ๑ มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่เริ่มตั้งแต่พุทธศักราช ๒๔๘๔ จึงได้กำหนดการพระราชพิธีขึ้นปีใหม่ระหว่างวันที่ ๓๑ ธันวาคม ถึง ๒ มกราคม มีรายละเอียด คือพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์สรงนํ้าพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรและพระพุทธรูปสำคัญ ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามถวายอาหารบิณฑบาตพระสงฆ์รับพระราชทานฉัน สดับปกรณ์ผ้าคู่พระบรมอัฐิสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช พระอัฐิพระบรมวงศ์ พระบรมอัฐิสมเด็จพระบวรราชเจ้า และพระอัฐิพระราชวงศ์ ลงนามถวายพระพรในพระบรมมหาราชวัง
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
พุทธศักราช ๒๔๙๐ คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์โปรดเกล้า ฯ ให้ยกการพระราชกุศลสดับปกรณ์ผ้าคู่ในวันขึ้นปีใหม่ไปไว้ในพระราชพิธีสงกรานต์
ต่อมาในพุทธศักราช ๒๕๐๐ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้งดการพระราชกุศลสวดมนต์ เลี้ยงพระในวันขึ้นปีใหม่ เปลี่ยนเป็นเสด็จออกทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทรงบาตร
พุทธศักราช ๒๕๐๑ โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนการพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลทรงบาตรขึ้นปีใหม่ ในวันที่ ๑ มกราคม เป็นวันที่ ๓๑ ธันวาคม ซึ่งเป็นวันสิ้นปี ต่อมาในพุทธศักราช ๒๕๑๘ โปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทรงบาตรขึ้นปีใหม่เป็นงานส่วนพระองค์ ณ พระราชฐานที่ประทับ
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง |
|||
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร |
การอวยพรส่งความสุขปีใหม่
การส่งความสุขเป็นของขวัญ ของที่ระลึกแก่บุคคลอันเป็นที่รักและนับถือในเทศกาลขึ้นปีใหม่มีหลายรูปแบบตามสถานะของบุคคล เช่น การส่งบัตรอวยพร ปฏิทิน สมุดบันทึกประจำวัน และอื่น ๆ
ในอดีต พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะพระราชทานพรปีใหม่แก่พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ ตลอดจนพสกนิกรผ่านพระบรมราโชวาท พระราชดำรัส ต่อมาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรการอวยพรที่มีค่าและพสกนิกรต่างจดจ่อรอเวลานั้น คือ พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่จะทรงพระราชทานพรวันขึ้นปีใหม่แก่ประชาชนชาวไทยของพระองค์เป็นประจำทุกปี และพระราชทานบัตรส่งความสุขที่ทรงประดิษฐ์ขึ้นด้วยพระองค์เอง ข้อความพระราชทานแต่ละปีจะประมวลขึ้นจากเหตุการณ์บ้านเมืองที่ประเทศไทยต้องประสบในรอบปีที่ผ่านมา ถือเป็นพรอันล้ำค่าอีกทั้งแฝงไปด้วยคำสอนและข้อคิดให้พสกนิกรน้อมนำไปเป็นแนวทางในการเริ่มต้นปีด้วยปัญญาและสติ
พระราชดำรัสพระราชทานแก่ประชาชนชาวไทยในโอกาสขึ้นปีใหม่
พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว |
พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานพรปีใหม่ |
พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานพรปีใหม่ พุทธศักราช ๒๔๕๘ |
|||||||
|
โคลงให้พรปีใหม่ของพระบรมวงศานุวงศ์
บัตรส่งความสุข / บัตรอวยพร / ส.ค.ส.พระราชทาน |
|
บัตรอวยพรในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว |
ส.ค.ส. พระราชทานในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร |
ส.ค.ส. พระราชทานของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี |
ส.ค.ส. พระราชทานของพระบรมวงศานุวงศ์ | |
บัตรส่งความสุข บัตรอวยพรปีใหม่ของบุคคลต่าง ๆ
หนังสือที่ระลึกในวันขึ้นปีใหม่
ลิลิตนิทราชาคริช พระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานเป็นของขวัญปีใหม่ |
หนังสือที่ระลึกในวันขึ้นปีใหม่ |
วชิรญาณวิเศษฉบับปีใหม่ ๑ เมษายน ร.ศ. ๑๐๙ (พุทธศักราช ๒๔๓๓) |
จากหนังสือ “สิ่งพิมพ์สยาม” โดย เอนก นาวิกมูล พ.ศ. ๒๕๔๒ |
||
พระนิพนธ์ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ จาก “อนุทิน ฤๅสมุดสำหรับจดหมายรายวัน ในพระพุทธศักราช ๒๔๗๑” บทนี้ ทำให้ทราบถึงจุดประสงค์ของสมุดบันทึกประจำวัน หรือไดอารี หรือที่พระองค์ทรงเรียกว่า อนุทิน ได้เป็นอย่างดี สมุดบันทึกประจำวัน หรือ ไดอารี (diary) หรืออนุทิน เป็นปฏิทินเล่มแบบหนึ่ง โดยเว้นพื้นที่สำหรับการจดบันทึกในแต่ละวันให้มากขึ้น หรือบางเล่มผู้ผลิตใช้เพียงกระดาษเปล่าโดยไม่มี วัน เดือน ปี แล้วเย็บเข้าเล่มเท่านั้น เพื่อใช้ในการจดบันทึกต่าง ๆ สมุดบันทึกประจำวันแบบนี้มีผู้นิยมใช้ทั้งพระราชวงศ์ พระสงฆ์ และบุคคลทั่วไปอนึ่ง ก่อนที่จะมีสมุดบันทึกประจำวันที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้ ยังมีสมุดบันทึกอีกชนิดหนึ่งที่มีการจดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามความคิดของผู้บันทึก เรียงตามลำดับ วัน เดือน ปี จึงนับว่าการบันทึกชนิดนี้เป็นสมุดบันทึกประจำวันด้วย สมุดบันทึกที่คนไทยสมัยโบราณใช้บันทึกเหตุการณ์บ้านเมือง และเรื่องเฉพาะตน ได้แก่ |
จดหมายเหตุพระราชกิจรายวันพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว |
จดหมายเหตุพระราชกิจรายวันในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว |
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบรพิตร ทรงพระราชนิพนธ์ในเดือนธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๙๔ เมื่อเสด็จนิวัตพระนคร มีพระราชประสงค์ที่จะพระราชทานพรปีใหม่แก่บรรดาพสกนิกรไทยด้วยเพลง และทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ นิพนธ์คำร้องเป็นคำอวยพรปีใหม่ แล้วพระราชทานแก่วงดนตรี ๒ วง คือ วงดนตรีนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นำออกบรรเลง ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และวงดนตรีสุนทราภรณ์ นำออกบรรเลง ณ ศาลาเฉลิมไทย ในวันปีใหม่ วันอังคารที่ ๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๙๕
|
สวัสดีวันปีใหม่พา ให้บรรดาเราท่านรื่นรมย์ ฤกษ์ยามดีเปรมปรีดิ์ชื่นชม ต่างสุขสมนิยมยินดี ข้าวิงวอนขอพรจากฟ้า ให้บรรดาปวงท่านสุขศรี โปรดประทานพรโดยปรานี ให้ชาวไทยล้วนมีโชคชัย ให้บรรดาปวงท่านสุขสันต์ ทุกวันทุกคืนชื่นชมให้สมฤทัย ให้รุ่งเรืองในวันปีใหม่ ผองชาวไทยจงสวัสดี ตลอดปีจงมีสุขใจ ตลอดไปนับแต่บัดนี้ ให้สิ้นทุกข์สุขเกษมเปรมปรีดิ์ สวัสดีวันปีใหม่เทอญ |